Minkyblueeyes บล็อคคุณพ่อลูกอ่อน

Thursday, November 30, 2006

ขอไว้อาลัยให้คุณพ่อของกริดยิ้มแย้มนะครับ

เมื่อเช้านี้ได้รับโทรศัพท์จากกริดยิ้มแย้ม...

กริด : หวัดดี...เรามีเรื่องจะบอกแหละ

มิ้งค์ : อ่าฮ่า...จะแต่งงานเหรอ??

กริด : -*- ป่าวๆๆ

มิ้งค์ : งั้นจะไปดูตัว??

กริด : คุณพ่อเราเสียเมื่อวันจันทร์

มิ้งค์ : (-_-''') .................

กริด : (เล่ารายละเอียด)

มิ้งค์ : นิ่งอึ้ง.... ฟังอย่างสงบ (ไม่น่าแซวมันเลยตรู..)



ด้วยเหตุนี้...จึงขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวกริดมา ณ ที่นี้ด้วย

ขอให้ดวงวิญญาณของคุณพ่อไปสู่ที่สงบ ปกปักษ์รักษาคุณแม่

และ ลูกๆหลานๆให้อยู่เย็นเป็นสุข....

ขอให้กริดเข้มแข็ง เป็นเสาหลักให้กับครอบครัวแทนคุณพ่อนะครับ

และกริดฝากมาบอกด้วยว่าอาจจะหายไปซักพักนึง(พักใหญ่ๆๆๆๆ)

เพื่อดูแลครอบครัวและกิจการที่บ้านนะครับ

Wednesday, November 29, 2006

เบื่อมากๆ

เมื่อวานนี้...ที่บริษัทมีจัดอบรมให้พนักงาน

เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้พนักงาน..บริษัททีม(ที่รัก)

มีนโยบายให้พนักงาน 1 คนต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตร

อะไรก็ได้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำงานหรือด้านวิชาการ

ให้ได้อย่างน้อย 1 วัน ในแต่ละปี....ซึ่งมิ้งค์กี้บลูอายส์ก็จะหาโอกาส

เข้ารับฟังการบรรยายเหล่านี้อยู่เป็นนิจ...เนื่องจาก....เอ่อ...

บริษัทจะเลี้ยงข้าวฟรี :P มื้อนึง อิอิอิ (กับข้าวดีๆอร่อยๆด้วยนา)

แต่อยู่ดีๆ พี่เลขาฯของ MD ที่ฝ่ายก็เดินมาบอกว่าของปีนี้...

มิ้งค์กี้บลูอายส์ยังอบรมไม่ครบ 1 วัน...ยังขาดอีก 0.37 วัน

ต้องเข้ารับการอบรม...โดยมีหัวข้อมาให้เลือก 4-5 หัวข้อ

มิ้งค์กี้บลูอายส์ไม่รู้จะเลือกอะไร....พี่เลขาฯเลยเลือกให้เข้าไปฟัง

เทคนิคการใช้ Powerpoint ง่ะ....นั่งฟังทั้งบ่าย...ง่วงสุดๆ

แถมอบรมเริ่มบ่าย 2 เลยไม่มีการเลี้ยงอาหารเที่ยง...ชิๆ

บ่นนิดๆพอหอมปากหอมคอให้น้ำลายหายเหนียว...ให้่นิ้วขยับหน่อย

ปล.ดังนั้น...ที่คุณดีเจน้องฟ้าโทรมาเมื่อวานแล้วเราไม่ได้รับ....

ก็ขออภัยมีไรก็โทมาใหม่นะจ๊ะ :D

Sunday, November 26, 2006

เพื่อนบ้าน t(-_-t)

เมื่อวันก่อนเพิ่งอ่านบล็อคของ น้องคนนึง มา

บ่นๆเรื่องเพื่อนบ้าน....เมื่อวานก็เจอเพื่อนบ้านเห็นแก่ตัว

เลยเอามาบ่นมั่งดีกว่า :P

ปัญหาสุดคลาสสิคที่เกิดขึ้นได้ระหว่างเพื่อนบ้าน

มีอยู่ไม่กี่ปัญหาหรอกครับ....เช่นเรื่องต้นไม้ล้ำเขต

หมา แมวถ่ายไม่เป็นที่เป็นทาง หรือร้องหนวกหู

เปิดทีวี วิทยุเสียงดัง ทำอาหารเหม็นๆรบกวน

และก็เรื่องที่จอดรถครับ

เพราะว่ากทม.เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างจะหนาแน่น

ประชากรแออัดกันมากกว่าพื้นที่ใดๆในประเทศนี้

ชาวกรุงอย่างเราๆจึงต้องประสบกับปัญหาประเภทนี้บ่อยๆ

แถวบ้านมิ้งค์กี้บลูอายส์ ทุกบ้านจะจอดรถในรั้วบ้านตัวเอง

เนื่องจากถนนหน้าบ้านจะกว้างแค่ 6-7 เมตร

ซึ่งกว้างพอให้รถสวนกันได้อย่างไม่ลำบากนักเท่านั้น

แต่ก็มีบางครั้งที่บางบ้านก็มีความจำเป็นต้องเอารถ

ออกมาจอดในที่สาธารณะ เช่นเวลามีอาบัง(แขก)มาบ้าน

แล้วที่ในบ้านไม่พอ...หรือบางครั้งแค่แวะมาทำธุระแป๊บเดียว

ก็จะจอดในที่สาธารณะกัน...ซึ่งก็ปฏิบัติเช่นนี้กันมาตลอด

ถ้อยทีถ้อยอาศัย....ใครจะไปจอดหน้าบ้านใครก็เอื้อเฟื้อกัน

แต่เมื่อวานนี้เอง....

อีตาลุงข้างบ้านมันมาบอกมิ้งค์ว่าไม่ให้มิ้งค์จอดรถหน้าบ้านมิ้งค์เอง

เพราะมันจะเอารถบ้านมันมาจอดง่ะ....คือพี่แกถอยรถมาใหม่

แล้วที่จอดไม่พอรึไงเนี่ย...สาดดดดด

ช่างหน้าหนาหน้าด้านหน้าทนจริงๆนะเมิง

ไม่ทราบว่าเป็นที่พ่อเมิงเหรอว่ะ....เห็นแก่ตัวชิบโป๋ง

เล่าแล้วของขึ้น...ขอจบแต่เพียงเท่านี้ :P



++++++++++++++++++++++++++



ข้ามไปเล่าเรื่องดีๆบ้างซักนิดดีกว่า

เมื่อวานไปงานโล๊ะ stock สินค้ามีตำหนิของ Toshiba มาอ่ะ

คนยังกะหนอน...เยอะมากๆๆๆๆ เข้าไปในโตชิบาไม่มีที่จอดรถ

โชคดีเจอป้าคนนึงใจดีมีน้ำใจเดินมาบอกว่าจอกตรงนี้ได้

แล้วก็ช่วยโบกรถให้...คือป้าแกก็เป็นคนนึงที่มาหา

ซื้อของถูกเหมือนกัน...ได้ข่าวว่าแกได้ตู้เย็นยักษ์ไป 4 เครื่อง

พอเจอป้าคนนี้แล้ว..ไอ้ความหงุดหงิดที่เพิ่งเจอ

เพื่อนบ้าน(แก่ๆ)งี่เง่าก็มลายหายไป

แล้วก็รู้สึกว่า...ในสังคมยังมีคนใจดี น่ารักๆและมีน้ำใจอยู่

การแสดงน้ำใจแก่เพื่อนร่วมสังคมแค่เล็กๆน้อยๆ

ก็ช่วยคลายความขุ่นข้องหมองใจที่ค้างคาอยู่ได้เป็นอย่างดี

งั้นเรามาช่วยกันแสดงความมีน้ำใจให้คนรอบข้างรู้สึกดีๆกันดีกว่า



ปล.เรื่องที่เล่าวันนี้ทำให้นึกถึงเรื่องที่ พี่หนุงหนิง เคยเล่าอ่ะ



Thursday, November 23, 2006

- - - เล่าข่าวเมื่อเช้านี้ - - -

เมื่อเช้านี้ตื่นขึ้นมาดูข่าวไอทีวี เป็นรายงานข่าวน้ำท่วม

ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นในเขตจังหวัดพิษณุโลก

ดูข่าวไปก็คิดไปว่า....เออนะ...คนที่เค้าต้องประสบกับความเดือดร้อน

แบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...เค้าคงจะไม่มีความสุข....เค้าคงเบื่อหน่าย....

ถ้าเป็นเราเราจะทนอยู่ได้ยังไง?

นักข่าวไอทีวีได้เข้าไปสัมภาษณ์ชาวบ้านที่โดนน้ำท่วม

คนแรกเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อยู่ในบ้านที่มีสภาพน้ำท่วมขัง

ระดับน้ำสูงถึงข้อเท้า...ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า

ทางการแจ้งให้ชาวบ้านทราบว่าน้ำจะแห้งภายในเวลา 20-30 วัน

พวกชาวบ้านก็ได้แต่ยอมรับสภาพ รอให้น้ำลดแล้วก็ค่อยๆทำความ

สะอาดบ้านกันไป ราวกับว่าชาวบ้านเองก็เคยชินกับสภาพความ

เป็นอยู่แบบนี้ซะแล้ว หรือจะคิดอีกแง่นึงก็คือ...ไม่มีทางเลือกอื่น

และคงเข้าใจว่ารัฐเองก็ได้ให้ความช่วยเหลือเต็มที่แล้วด้วย

ทำอะไรหรือหวังอะไรมากไปกว่านี้ก็คงจะไม่มีผลอะไร

จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตารับสภาพกันไป (-_-)

นอกจากผู้หญิงวัยกลางคนๆนี้แล้ว..นักข่าวยังได้สัมภาษณ์ลุงอีกคนนึง

อายุน่าจะ 60-70 แล้วล่ะ...คุณลุงคนนี้หน้าตาซื่อๆ พูดจาตรงๆ

ด้วยคำพูดธรรมดาๆแต่ตอนฟังมิ้งค์กี้บลูอายส์กลับรู้สึกได้ว่ามัน

เป็นเรื่องปรัชญาที่ลึกซึ้งเอาการทีเดียวสภาพบ้านของคุณลุงคนนี้

คือมีน้ำท่วมขึ้นมาถึงระดับเอว แล้วบ้านของแกก็เป็นกระท่อมไม้


มีฝาเป็นแผ่นสังกะสีผุๆล้อมรอบ หลังคามุงจาก

ตอนโดนน้ำท่วมคุณลุงแกก็ยกพื้นบ้านให้สูงขึ้นเพื่อหนีน้ำ

สภาพบ้านแกตอนนี้พื้นบ้านอยู่ต่ำกว่าหลังคาแค่ 2-3 ฟุต

เวลาจะไปไหนมาไหนในบ้านก็ต้องคลานเอา จะยืนก็ไม่ได้เพราะหัวจะชนหลังคา

นักข่าวถามแกว่าถ้าน้ำขึ้นมาอีก แกจะทำยังไง...

คุณลุงตอบอย่างอารมณ์ดีว่า

"ก็คงต้องเจาะหลังคาแล้วเอาของไปเก็บบนหลังคาแล้วซื้อผ้าใบมากางกันแดดกันฝน

เรื่องแค่นี้เอง...ลุงอยู่ได้...ยังไงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้"

แล้วนักข่าวก็ถามคุณลุงว่าตอนนี้อยากได้อะไร? คำตอบที่ได้รับจากคุณลุงคนนี้ก็คือ

"ตอนนี้อยากได้ข้าวสารอาหารแห้ง เงินทองไม่เอา เอามาก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

กินก็กินไม่ได้ อยากได้อาหารมากกว่า"

จากข่าวนี้เอง...ทำให้คิดได้ถึงสัุจธรรมอย่างนึงว่าจริงๆแล้ว

คนเราก็ต้องการเพียงแค่
อาหารประทังชีวิต แล้วพักอาศัยเท่านั้นเอง

เงินทองเป็นเพียงสิ่งสมมติ เป็นสัญลักษณ์ที่ในเวลาทุกข์ยากจริงๆ

มันไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรกับเราเลย สิ่งที่ได้ยินจากคุณลุงเมื่อเช้านี้

สะท้อนให้เห็นความจริงว่าคำที่ในหลวงท่านพร่ำเตือนพร่ำสอน

ลูกๆของท่านได้ซึมซับเข้าไปอยู่ในจิตใจของลูกๆท่านแล้ว

คุณลุงคนนี้ท่านพอใจในสิ่งที่ท่านมีพอใจในความเป็นอยุ่แบบพอเพียง

มีทัศนคติที่ดีต่อความเป็นอยู่และชีวิตของตัวเอง (^__^)

มิ้งค์กี้บลูอายส์อดสงสัยไม่ได้ว่า จริงๆแล้วคุณลุงคนนี้ในตอนนี้อาจจะมีความสุขกว่า

คนบางคนที่มีเงินเป็นหมื่นล้าน แต่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ

หนีไปอยู่ที่นู่นทีที่นี่ที....อยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้รึเปล่าน๊อ???

Thursday, November 16, 2006

เผาน้องเฟอร์ (ในที่สุดก็ได้ทำซะที)

วะเหยๆๆ เกริ่นเอาไว้ซะนาน...ในที่สุด...ก็ถึงเวลาซักที

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...เกิดขึ้นสมัยที่มิ้งค์กี้บลูอายส์กะน้องเฟอร์

อายุแค่ 3-4 ขวบเท่านั้นเอง...จำได้มั่งไม่ได้มั่ง

ที่จริงก็เกือบจะลืมไปซะแล้ว...แต่ช่วงที่ยายยังอยู่

แล้วขับรถไปเยี่ยมยายที่ขอนแก่นใช้เวลาตั้งหลาย ชม.

ก็เลยพากันขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆมาเม้าธ์กันสนุกปาก


ถึงวีรกรรมในวัยเด็ก...และเรื่องของน้องเฟอร์

ก็ดูเหมือนจะเป็น topic ที่มันส์ที่สุด

เพราะมันประหลาดสุดแล้วอ่ะ...และดูเหมือนว่าเฟอร์เอง

ก็จะภูมิใจในวีรกรรมเหล่านั้นซะด้วย -''-

วันนั้นก็ขู่ไว้เหมือนกันนะว่า...เล่นเล่ามาซะขนาดนี้


เดี๋ยวมิ้งค์กี้บลูอายส์ก็เอามาเขียนเผาในบล็อคซะหร๊อก

แต่น้องเฟอร์ก็หาได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด

แถมยังท้าให้เขียนอีก...อิอิอิ

ไม่รู้ซะแล้วว่าเล่นกะใคร....ในเมื่อท้ากันขนาดนี้

พี่ชายอย่างกระผมก็ต้องสนอง...หุหุหุ


คือตั้งแต่เด็กๆน้องเฟอร์จะเป็นคนที่ตัวอ่อนมากๆครับ...

ความสามารถพิเศษของน้องเฟอร์ที่ได้จาก

ความตัวอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นยืดหยุ่น

หกคะเมนตีลังกา ทำสะพานโค้ง ฉีกขาฯลฯ


ล้วนแล้วแต่เหนือกว่ามิ้งค์กี้บลูอายส์ทั้งสิ้น

ซึ่งตอนนั้นมิ้งค์กี้บลูอายส์คิดว่า...โอ้ววว เท่มากๆ

อยากทำได้มั่งๆ...แต่อนิจจา...

ไม่ว่าจะฝึกฝนหนักหนาสาหัสปานใด

ก็สู้น้องเฟอร์ม่ายล่ายซักที T_T

สร้างความค้างคาใจมาให้มิ้งค์บลูอายส์มาตลอด20กว่าปี

จนกระทั่งบัดนี้...จากบทสนทนาในวันนั้น

ทำให้ปริศนาลับที่ถูกปกปิดมานานถูกเปิดเผย

Finally....the truth is revealed

น้องเฟอร์บอกว่า...ตอนเด็กๆโดนเฮียมิ้งค์กดขี่ข่มเหง

เลยกลายเป็นเด็กเก็บกด...ชอบแอบ กัดเล็บ

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับการพัฒนา

ทักษะความตัวอ่อนของมนุษย์ธรรมดาๆอย่างเราๆแต่อย่างใด

แต่น้องเฟอร์เค้ายืนยันว่าเกี่ยวกับเพราะเค้าไม่ธรรมดา

เค้าเล่าอย่างภาคภูมิใจว่า...สิ่งที่เค้าแอบทำเวลามุดอยู่ในผ้าห่ม


งุด งุด งึด งึด อยู่นั้น...

นอกจากจะกัดเล็บเฉยๆ..เค้ายังแอบกัด เล็บเท้า ด้วยง่ะ

แถมยังภูมิใจที่ไม่มีใครรู้ความลับนี้อีกตังหาก -*-



และตอนนี้...มิ้งค์รู้แล้วว่าทำไมถึงสู้น้องเฟอร์ไม่ได้ซักที

ก็เล่นมีวิธีซุ่มฝึกลับแบบนี้...ใครจะไปสู้ได้ (=_= '')




เผาเสร็จก็ต้องเอารูปมาประจานจะได้จำหน้ากันได้....อิอิอิ



แต่โดยจรรยาบรรณก็ขอคาดตานิดนึงละกัน

Tuesday, November 14, 2006

++++ ความฝัน(ภาคจบ) ++++

เฉลย...ต่อจากเรื่องครั้งที่แล้ว...

ความฝันที่ครองใจเป็นอันดับ 1 ของมิ้งค์กี้บลูอายส์นั้นหนอ

ก็คือ....แถ่น แทน แท๊นนนนน




ฝันว่า...มีลูกครับ...


ฝันว่ามีลูก...แต่ไม่ใช่ลูกกับคุณปุ้ยนะครับ

ถ้าเป็นแบบนั้น มันจะธรรมดาเกินไป

และคงไม่สามรถครองอันดับ 1 ของ

"จัดอันดับสุดยอดความฝันของมิ้งค์กี้บลูอายส์" ได้


ตอนนั้นมิ้งค์กี้บลูอายส์ยังเป็นวัยรุ่นวัยกระเตาะอยู่

ยังเรียนหนังสืออยู่เลยครับ...

แล้วก็คบกะสาวคนนึงซึ่งไม่ใช่ภรรยาคนนี้ซะด้วย

แล้วก็ฝันว่ามีลูกอ่ะครับ....แต่ก็ไม่ได้มีกับแฟนในตอนนั้นด้วยนะครับ

หากแต่ว่า...มิ้งค์กี้บลูอายส์มีลูกกับ...เอ่อ....กับ...กับ..



กับกริดยิ้มแย้มครับ!!!


ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่นครับ...ล้อเล่น...(แต่กริดคงขำไม่ออก...อิอิอิ)

ความจริงคือจำไม่ได้ว่าในฝันมีลูกกับใคร

แต่มันให้ความรู้สึกประมาณว่า...มีคนอุ้มทารกมาให้คนนึง

แล้วบอกว่าเป็นลูกของมิ้งค์...แล้วมิ้งค์ก็เชื่อว่าเ็ป็นอย่างนั้น


แล้วมันก็..โอ๊วววว....สุดยอด....สุขสมเกษมเปรมปรีย์

มีความสุขสุดๆ ที่มีเด็กน้อยน่ารักๆในอ้อมกอด

ลูกน่ารักขนาดนี้...คุณแม่ต้องสวยมากแหงๆ

เสียดายในฝันตอนนั้น..อยู่ดีๆก็มีลูกมาเลย

มันข้ามขั้นตอนสำคัญอย่างกระบวนการผลิตไปได้ยังไงไม่รู้ -"-

ไม่งั้นนอกจากจะเป็นฝันดีแล้ว...อาจจะเพิ่มฉาก...อ่ะจึ๊ๆ จึ๋งๆมาด้วย


อ๊ะๆ...จะไม่ขยายความต่อ..เพราะมีเด็กๆมาอ่านบล็อคนี้ด้วย..

เอาเป็นว่าพวกผู้ใหญ่(ลามกๆ)คงจะรู้เรื่องกันนะครับ :P

และเมื่อสองเดือนที่แล้วนี่เอง....ฝันในวันนั้นก็เป็นความจริง

สมาชิกใหม่ของครอบครัวเดชะรินทร์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น

ในบ้านน้อยหลังหนึ่งใจกลางกรุงฯ

ด.ญ. ภาริชญาที่รักของมิ้งค์กี้บลูอายส์และคุณปุ้ยนั่นเอง


เมื่อวานซืนเพิ่งพาไปฉีดยามา..รอหมอนานมาก

ช่วงที่รอเลยถ่ายรูปเล่นๆไว้ด้วย...เชิญทัศนา :D



รอนานจนหลับคาอกคุณพ่อค่ะ



ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าหนูอึ๊เลยจับนอนเปิดผ้าอ้อมดูค่ะ



ชอบให้อุ้มหันหน้าออกจะได้ชมวิวทิวทัศน์ได้ไงคะ




แต่ถ้านานๆหนูก็เบื่อนะคะ



เวลาหนูเบื่อ หนูจะอาละวาดน๊า!!!


รูปเล็กเพราะลืมเซ็ตค่ากล้องมือถือก่อนถ่ายอ่ะครับ ^^''

Friday, November 10, 2006

++ ความฝัน ++

เมื่อพูดถึงคำว่า "ความฝัน" บางคนก็คงจะคิดถึงสิ่งที่เป็นรูปธรรม

ว่าเมื่อคืนชั้นฝันว่าอะไร...ฝันดีหรือฝันร้าย...ฝันไปว่าเป็นสะใภ้นายก :P

โป๊ะ ฉึ่ง ฉึ่ง...

บางคนก็นึกถึงนามธรรม มองเห็นถึงอนาคตที่สวยงาม ของตัวเองและคนที่รัก

แต่บางครั้งความฝันที่เป็นนามธรรม ก็เข้าไปอยู่ในฝันที่เป็นรูปธรรม :D

เวลาฝันแบบนั้นก็จะมีความสุข...แถมบางที่ก็ซู่ซ่าซะด้วย :D~~


มิ้งค์กี้บลูอายส์เองก็มีความฝันเหมือนกัน...พูดถึงฝันแบบ...นอนแล้วฝันก่อนดีกว่า

ใครที่ดูดาบมังกรหยก (ภาคล่าสุดที่ฉายช่อง 3 วัน ศ.- ส. 22.30 น.)

แล้วได้ดูตอนที่เสี้ยวคุนผลักหินใส่บ่อกี้ ตอนที่อยู่ในทางลับ

ของพรรครุ่งเรืองอ่ะ...(เอ่อ...ช่วยนึกภาพตามให้ออกด้วยนะครับ ^^'')

แล้วบ่อกี้พาสาววิ่งหนีอ่ะครับ...ฉากแบบนั้นชวนให้นึกถึงฝันร้ายสมัยเด็กๆ

เวลาที่ฝันร้ายทีไร มักจะฝันแบบนั้นตลอดเลย...

ฝันว่าวิ่งหนียางรถยนต์ยักษ์ยี่ห้อ Michelin อยู่ในอุโมงค์แคบๆ

หนีๆๆๆ ไม่ให้โดนยางกลิ้งทับ...แล้วในฝันก็จะวิ่งเร็วมากไม่ได้

น่ากลั๊ว...น่ากลัว T_T ตื่นมาร้องไห้หาแม่ทู๊กที : (

แต่พอโตๆมา ฝันนั้นก็หายไปเอง...จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่


*******************************


ฝันดีก็มีนะครับ...เรื่องที่ฝันดีมากๆที่นึกออกมีด้วยกัน 2 เรื่อง

นับว่าเป็นฝันดีติดอันดับ Top 2 ของมิ้งค์กี้บลูอายส์เลยทีเดียว

เริ่มจากอันดับสองก่อน...ก็คือ...

ฝันว่าบินได้ครับ...อิอิอิ

ไม่ใช่บินได้แบบธรรมดานะครับ...ในฝันมิ้งค์เป็น 1 ใน 5 ยอดมนุษย์

พวกขบวนการ Zentai อ่ะ..แถมเป็นตัวหัวหน้า สีแดง ซะด้วยนะ



ฝันสนุกมากๆ ปราบอธรรมกันอุตลุต...มีลิ้วล้อของสัตว์ประหลาด

ที่เป็นตัวประกอบใส่ชุดดำรัดรูป วิ่งไปวิ่งมาให้มิ้งค์อัดยั้วเยี้ยไปหมด

แล้วมิ้งค์กี้บลูอายส์ก็บินโฉบไปโฉบมา...เท่สุดๆ

แต่ในฝันแบบนี้มักจะมีจุดอ่อนคือ...

เวลาสู้กับตัวสัตว์ประหลาดประจำสัปดาห์แล้วมิ้งค์มักจะหมดแรง

ไม่รู้เป็นไร...ฝันเรื่องแบบนี้ทีไรเป็นแบบนี้ทู๊กที :(

ไม่เคยปราบสัตว์ประหลาดได้ซักที เพราะต้องตื่นก่อนตลอด

ดังนั้น...เรื่องนี้จึงได้แค่ Rank 2nd.



ส่วน NO.1 นั้นหนา....คือฝันเรื่อง....





............












เอาไว้ติดตามต่อตอนต่อไปนะจ๊ะ :D



ปล.

สำหรับบางคน....ที่อาจรอให้ซักคนมาเติมเต็มความฝัน

บางคนก็เจอคนๆนั้น...แต่อีกหลายๆคน...ก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น

สำหรับมิ้งค์เอง...ถ้าได้มีโอกาสเติมเต็มความฝันของใครซักคน

หรือมีส่วนช่วยให้ฝันของใครเป็นจริงขึ้นมาได้...มิ้งค์เองก็คงจะดีใจไม่น้อย

มีใครฝันถึงมิ้งค์แล้วอยากให้มิ้งค์ช่วยทำให้ฝันเป็นจริงมั๊ยจ๊ะ??

Monday, November 06, 2006

น้ำตามิ้งค์กี้บลูอายส์ T_T

วันนี้มีเรื่องให้เสียน้ำตาล่ะ....

เนื่องจากเมื่อวันศุกร์คุณยายของคุณปุ้ยป่วยเข้ารพ.

ด้วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ...ไปเข้ารพ.เอกชนห่งหนึ่ง

ใกล้ๆบ้าน... X-ray ปอดเจอความเสียหาย..

หมอบอกว่าอาจจะเป็นวัณโรค เลยรีบรักษา

พร้อมทั้งตรวจเลือดต่างๆนานาๆ

1 วันผ่านไปหมดค่ารักษาไปเยอะเลย...

เยอะขนาดที่ว่า..แง๊...ไม่ไหวแล้ว....ย้ายไปรพ.รัฐดีกว่า

พอดีว่ามิ้งค์มีน้องเป็นหมออยู่พระมงกุฏฯ เลยได้ห้องพิเศษที่นั่น

พอย้ายมาแล้ว...หมอก็ treat คนไข้ไปตามปกติ

แต่รอผลการตรวจเชื้อจากแล็ปของรพ.แรก

ซึ่งจะได้ผลภายใน 3 วัน (ซึ่งตรงกับวันนี้แหล่ะ)

และเมื่อตอนบ่ายนี้เอง คุณปุ้ยก็โทรมาบอกว่า...



คุณปุ้ย : ตัวเอง...ผลตรวจออกมาแล้วอ่ะ

มิ้งค์ : จริงเหรอ...เป็นไงอ่ะ...

คุณปุ้ย : หมอบอกว่าเป็นอ่ะ...

มิ้งค์ : หา!!เป็นเหรอ??เป็นเชื้ออะไร?

คุณปุ้ย : เปล่าๆ ไม่ใช้ผลตรวจของยายแต่เป็นผลตรวจ
มะเร็งปากมดลูกที่เค้าไปตรวจมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

มิ้งค์ : .................. อึ้งไป 5 วิ

คุณปุ้ย : ฮ่าๆๆๆล้อเล่นอ่ะ...

มิ้งค์ : -*-




แกร่ก... (เสียงวางสายด้วยความโกรธ)

โกรธมากๆ + ตกใจจนน้ำตาไหลเลยอ่ะ...

มาล้อเล่นแบบนี้...มิ้งค์ตกใจมากๆๆๆๆเลยรู้ป่าว!!!



วันนี้อัพบล็อคตั้งสองเรื่องแหน่ะ ^^

เอามาคั่นเรื่องที่จะเผาน้องเฟอร์ :P

จบแระ....ไปล่ะ :D

ขออภัยในความไม่สะดวก (-/- )

เรื่องที่อัพคราวก่อนเข้ากับเทศกาลฮัลโลวีนดีเนาะครับ

น้องเฟอร์กลับมาจากไปเที่ยวญี่ปุ่งมาแล้ว...

ถึงเวลาจะเอามาเผากันซะที...แต่ทว่า...

เฮียมิ้งค์ก็นึกขึ้นมาได้ว่า...การที่ได้เคยเปิดเผยใบหน้า

ของน้องสาวต่อสาธาณะชนแล้ว...ยังจะเอาน้องสาวมาเผา

เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง...

แล้วยิ่งมี คนรู้จ้ัก น้องเฟอร์ด้วยแล้ว...

ยิ่งทำให้คิดว่าอย่าเอาน้องเฟอร์มาเผาจะดีกว่า :P

ดังนั้น...เรื่องการเผาน้องสาวตัวเอง

ขอให้คิดซะว่ามิ้งค์ไม่เคยพูดถึงก็แล้วกันนะครับ (-/-)

ขอโต๊ดน๊า....

































ซะเมื่อไหร่ละ .... :P

โปรดติดตามในเร็วๆนี้นะจ๊ะ :D ฮี่ๆๆๆ

Friday, November 03, 2006

น้องวินนี่ชวนสยอง...บรื๋อๆ

เมื่อคืนนี้น้องวินนี่เป็นไรไม่รู้...ร้องไห้ทั้งคืนเลย

คงจะอยากให้อุ้ม..เพราะอุ้มขึ้นมาก็จะเงียบแล้วก็หลับไป

แต่พอวางไปซัก 10-20 นาทีเท่านั้นแหละ...ก็จะงอแงร้องไห้อุ้มอีก

ทีแรกก็นึกว่าฉี่หรือว่าหิวนม ก็พยายามป้อนนมให้อิ่มแล้วก็พานอน

แต่ก็ไม่หลับ...เลยลงมติว่าน้องวินนี่คงจะติดคนอุ้มซะแล้ว...เฮ้อ...

เมื่อคืนเลยไม่ค่อยได้นอนเลย...ดีที่วันนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศแต่เช้า

เพราะต้องออกสนาม...เลยแอบเนียนนอนตื่นสายนิดนึง :P


ไอ้ที่จั่วหัวถึงเรื่องสยองมันก็มีที่มาจากเรื่องเมื่อคืนนี่แหละ

โอย...คิดแล้วขนลุก...เคยได้ยินมะครับว่า...เด็กทารกมักจะมองเห็น

สิ่งที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น...ประมาณว่าเป็นสัมผัสที่หกอ่ะ -__-''

คือน้องวินนี่เค้าจะชอบให้อุ้มพาดบ่า...เอาคางน้องวินนี่

วางไว้บนบ่าของเรา..แล้วก็ให้พาเดินๆๆไปรอบบ้าน

แล้วเค้าก็จะหลับ...ลูกสาวคนนี้จะรู้มากด้วยนะครับ

คือถ้าเราอุ้มแล้วไปหย่อนตูดนั่งที่ไหน...น้องวินนี่จะทำเสียงขู่

ในคอ...ประมาณว่า..ฮึ่มๆ แฮ่ๆ พาหนูเดินเดี๋ยวนี้นะคะ...ชิชิส์

แล้วเมื่อคืนนี้เวลาประมาณตี 3 น้องวินนี่นอนไม่หลับ..หลังจากที่

ดูดนมคุณแม่จนเต้านมเหี่ยวไปทั้งสองข้างแล้ว :P

ก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อลูกอ่อนมิ้งค์กี้บลูอายส์

ที่จะต้องอุ้มน้องวินนี่พาดบ่าพาน้องเรอแล้วก็พานอน

แล้วห้องนอนมันก็แคบใช่มะครับ...เลยต้องออกมาเดินในบ้าน

ซึ่งก็จะปิดไฟมืดๆ...เดินวนๆในบ้านนั่นแหละ...

ขณะที่เดินๆอยู่นั่นเอง...คุณพ่อลูกอ่อนก็ต้องคอยดูว่าน้องนอนรึยัง

จะได้ไปนอนมั่ง...ครั้งนึงที่หัี่ันไปมองหน้าน่องวินนี่..ปรากฏว่า...

เห็นน้องวินนี่กำลังลืมตาจ้องเขม็งไปด้านหลังมิ้งค์กี้บลูอายส์

สายตามองขึ้นไปในระดับสูงว่าหัวคนตรงเข้าไปในความมืด...

บรื๋อ...ขนลุกเลยอ่ะ...ใจมันคิดว่าน้องวินนี่มองใครอยู่หว่า??

มันชวนให้คิดถึงหนังที่เพิ่งลาโรงไปไม่นานมานี่เอง...

ที่ชื่อว่า "โคลิค..เด็กเห็นผี" อ่ะ...กรุ๊กๆกรู๋...วววว

ว่าแล้วก็เข้าห้องดีกว่า...แห่ะๆๆ



ก็เข้าใจอ่ะว่าไม่มีไรหรอก...ปกติก็ไม่ใช่คนกลัวผีอะไร

เพราะจะว่าไปก็เหมือนเคยเจอมาแล้วแต่ก็รอดมาได้...

อยากรู้ว่าเหตการณ์ตอนนั้นเป็นยังไงให้ตามไปอ่าน ที่นี่

และ ที่นี่ หรือ ที่นี่ แห่ะๆ...โชกโชนมะ?? ^ ^''

พี่อี้ พี่ตุ๋ม เจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างรึยังครับ??

Edit ก่อนจาก :D

ขอเชิญร่วมสนุกกับเกมประเทืองปัญญาครับ...

เนื่องจากเคยเกริ่นๆว่าจะเอาน้องสาวตัวเองมาเผา


เลยเอารูปมาให้ทายเล่นๆก่อนว่า...

คนไหนคือน้องเฟอร์เอ่ย?? :D



หมายเหตุ : คนที่รู้แล้วห้ามหน้ามึนมาตอบนะจ๊ะ!!

Thursday, November 02, 2006

ของชอบของเค๊า :D~~~

นี่แหละครับ 1 ในตัวการที่มาของพุงมิ้งค์กี้บลูอายส์


อันนี้นั่นหนามีนามว่า Banoffee ทำกินกันนะหยุงหยิง


Layer cake ทรงเครื่องน่ากินจัง :D



พุดดิ้งสตรอวเบอรรี่ :D~~~



Chocolate ดำปี๋เลย...ซี๊ดดด



แบบนี้มิ้งค์ไม่ค่อยชอบกินหรอกแต่หน้ามันสวยดีอ่ะ



เป็นชั้นๆมาอีกแล้ว...มีสตรอวเบอรรี่ด้วย :D~~



ถ้าจะเอาชิ้นนี้มาล่อมิ้งค์แล้วไม่ให้มิ้งค์ชิมก็ฆ่ามิ้งค์ให้ตายไปเลยดีกว่า


โอยยย...น่ากินจางงงง



ฟรุ๊ตทาร์ทแบบนี้มิ้งค์กี้บลูอายส์ก็ช๊อบ..ชอบ :D~~


พอละ...ขี้เกียจบรรยาย :P



ดูซะ...แล้วจงไปหามากินให้เปรมปรีย์



'กาแล็ตดำปี๋อีกแระ...โอย...ใจจาขาดดด



อัพบล็อคอย่างทรมานใจจังเลยวันนี้ี้



ถ้าใครพามิ้งค์ไปกินชิ้นนี้จะยอมให้หอมวินนี่ทีนึง..เอ้า!!



ถ้าโลกนี้มี Death Note จริง แล้วมิ้งค์เป็นคนเก็บได้
ขอให้เป็นแบบเล่มนี้นะ :D~~~



ดูแล้วก็จงมาอ้วนด้วยกันเถอะ อิอิอิ

Wednesday, November 01, 2006

ปวดหลังอ่ะ...T_T

คราวก่อนบ่นเรื่องงาน...วันนี้จะมาบ่นเรื่องสุขภาพ T_T

"ตานี่ๆขี้บ่นจริงๆ" <------ คิดแบบนี้กันใช่มั๊ยครับ?

ถูกแล้วล่ะครับ...จะว่าไปมิ้งค์ว่ามิ้งค์ก็ขี้บ่นเหมือนกัน :P



ที่จริงไอ้อาการปวดหลังเนี่ย...มันเริ่มมาเมื่อนานโขทีเดียว

ตอนนั้นมิ้งค์คงจะเพิ่งเรียนในมหาลัยล่ะมั้ง

ช่วงปีท้ายๆ ใกล้จะจบ...ปริญญาใบที่สองอ่ะ

ตอนนั้นรู้สึกจะเริ่มอ้วนแระ...(แต่ก็ยังผอมกว่าตอนนี้มาก T_T)

คิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะเราไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพ

ตอนเด็กๆจะชอบนั่งหลังโก่ง...เวลาพ่อ-แม่มาเห็น..โดยเฉพาะป้า

เดินมาเห็นมิ้งค์นั่งหลังโก่งจะต้องโดนเอ็ดทุกที...

ตอนนั้นเราก็ไม่ใส่ใจ...คิดว่า...ก็มันสบายดีนี่นา

แล้วไหนจะยัง เล่นเวท ยกของหนักๆ คือเมื่อก่อนที่บ้าน

ค้าขาย เลยโดนใช้ยกนู่นยกนี่เป็นประจำ...เวลายกของหนักๆ

ก็ไม่ใส่ใจกับท่ายก..สักแต่ว่ายกๆ ไม่นึกเลยว่าพออายุแค่นี้

ร่างกายก็แย่ซะแล้ว T_T

เมื่อก่อนเข้าใจเอาเองว่าไม่ต้องดูแลมันมาก...

เพราะยังไงเราเองก็ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

คือเมื่อก่อนจะเล่นกีฬาแทบทุกวัน...

ตอนนั้นเล่น เทควันโด้...เล่นมาตั้งกะ 11 ขวบ

จนเรียนจบมหาลัย...แต่อย่าถามว่าได้สายอะไร

เพราะมิ้งค์เป็นพวกดองสาย...เสียดายค่าสอบ 200 บาท

เลยไม่ไปสอบเลื่อนสายซะงั้น :P

ถ้าไม่เล่นเทฯก็จะว่ายน้ำ/ตีเทนนิส/ไดรฟ์กอล์ฟ ฯลฯ

เรื่อยเปื่อยไปเรื่อย..เรียกได้ว่า Sportman คนนึงเหมือนกัน

แหน่ะๆ -_-'' ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เชื่อกันนะ...ชิๆ รู้นะว่าคิดไรอยู่

เอาเป็นว่ากาลเวลามันเปลี่ยนคนได้ก็แล้วกัน T_T



พอมาพักหลังๆ รู้สึกว่าจะเอาเวลามาทุ่มเทกับการจีบสาวซะมาก

เลยไม่ค่อยได้เล่นกีฬาออกกำลังกาย...

ยิ่งมาทำงานแล้ว...ก็จะมีข้ออ้างให้ตัวเองว่า "ไม่มีเวลา"

เลยทำให้ต้องมานั่งบ่นอย่างงี้...

เฮ้อ...บ่นไปก็เท่านั้นเอง...หาทางปฏิวัติความคิด

กลับมาใส่ใจสุขภาพดีกว่า...ยังไม่อยากตายไว

อยากอยู่ดูน้องวินนี่มีความสุขไปนานๆ

ลูกจ๋า..เป็นกำลังใจให้คุณพ่อหน่อยนะลูก :D