Minkyblueeyes บล็อคคุณพ่อลูกอ่อน

Saturday, June 30, 2007

จะกลับบ้านแล้ว :D


กลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้าน ^^''
เมื่อคืนเลยนั่งปั่นงานถึงตี 3 โชคดีที่มีคนอยู่คุยเป็นเพื่อน
ทั้งน้องบ๋อม เจ๊ฉะ น้องฝน น้องกวาง(ตัวแสบ) แล้วก็พี่ก้อย
วันนี้เลยตื่นมาทำงานซะสายเลย....
เข้าออฟฟิศมาตั้งเกือบๆเที่ยง... นั่งเก็บงานส่วนที่เหลือเล็กน้อย
พร้อมกับวางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปเที่ยวไหนดี :D
มีเวลาว่างครึ่งวัน...ทีแรกกะว่าจะไปดู The Transformers ในอุดรฯ
แต่พี่เบิ้มกะน้ำหวานชวนไปเดินเล่นในเวียงจันทร์
ก็เลยสองจิตสองใจ...เพราะไม่เคยเที่ยวในลาวซะที
แต่ถ้าไม่ข้ามไปฝั่งไทยพร้อมรถของบริษัท
มันก็จะต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก (กลัวลำบาก :P)
เอาไงดีๆๆๆ??? >_<
เกิดการต่อสู้ขึ้นในจิตใจ....
ระหว่างหุ่นยนต์และสาวสวย (นางเอกในหนัง) ความฝันของหนุ่มๆ
หรือ....
อาหารในกำแพงนครเวียงจันทร์ น่าอาหย่อยยยย :D~~~
ลองมาทายกันซิว่า...จะลงเอยที่อันไหน??
อัพบล็อคคราวหน้าจะมาเฉลย :D

Thursday, June 28, 2007

ความสุขของพระมหากษัตริย์ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล

มันบอกไม่ถูกแฮะว่ารู้สึกยังไง ทั้งซึ้ง ทั้งเศร้า

ขอบคุณ พี่มี่ ที่ forward mail นี้มาให้อ่านครับ


ความสุขของพระมหากษัตริย์
หนึ่งปีที่ผ่านมา......

เราใส่เสื้อเหลือง เราใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง

คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม
เพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่นาที
วันนั้น ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครอง
โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ
ประเทศหนึ่งที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรี
และพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

.....สิบสองปีที่ผ่านมา......

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจ
เพราะทรงงานหนักเกินไป ในขณะเดียวกัน
สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน

เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดให­่ถวาย
พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระ และในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่ง
ทรงถือม้วนแผนที่กรุงเทพฯเพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่

ยังจำกันได้ไหม?

..... 34 ปีที่ผ่านมา.....

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516
เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด

วันนั้น นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดิน
ขบวนประท้วงรัฐบาล เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน
ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมห­้า
คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง
คืนนั้นสถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า
“คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน”

และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน
หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า
“เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น?”

ผมไม่ได้ตอบ แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่
มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่า
พระองค์ทรงเป็น 'SOUL OF THE NATION' หรือ “จิตวิ­­าณของคนไทยทั้งชาติ”

ยังจำกันได้ไหม?

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

เราสร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุด

เราโกงทุกครั้งที่มีโอกาส

เราเรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “สิทธิ” แต่ลืมคำว่า “หน้าที่”

เรากำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้

เราสร้าง “กฎหมู่” ให้เหนือ “กฎหมาย”

เราเดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย

เราก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกันและทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่

เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราจะทรงเสียพระทัยเพียงใด?

80 ชันษาของพระองค์ท่าน หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่
ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ
ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด

แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา
ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์

พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ

ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังให­่โตสวยงาม
แห่ล้อมด้วยข้าราชบริพาร หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ
เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน
รู้จักความพอเพียง และมีสติ-เพียงเท่านี้เอง

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่?

หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา?

Tuesday, June 26, 2007

ป่า ปา ป๊ะ อีกที


ที่ Entry ก่อนเล่าเรื่องน้องวินนี่พูดออกเสียง
"ป่า ปา ป๊ะ" ได้อ่ะครับ...ตกเย็นมาพอว่างจากงาน
ก็เกิดคิดถึงวินนี่ขึ้นมา...แล้วก็พลอยนึกถึงป๊า(ของตัวเอง)ไปด้วย
นึกถึงเหตการณ์นึงเมื่อนานมาแล้ว...
เลยอยากจะเอามาเล่าแบ่งปันกัน :)
คือเรื่องมันเกิดเมื่อซัก 10 กว่าปีมาแล้ว
เช้าวันนึงจำได้ว่าต้องไปเรียนรักษาดินแดน
เลยออกจากบ้านสายกว่าปกติ...
ตอนนั้นบ้านที่พักอยู่ในซอยที่มีรถพลุกพล่านตลอดเวลา
โดยเฉพาะชั่วโมงเร่งด่วน คนจะใช้ซอยนี้เป็นทางลัด
เพราะเป็นซอยที่คนเยอะ มิ้งค์ไม่ชอบเดินเบียดคนบนฟุตปาธ
จะเรียกว่ามักง่ายก็คงจะไม่ผิด...
มิ้งค์จะชอบลงมาเดินบนถนนเป็นประจำ จนเป็นนิสัย
จากคำบอกเล่าของคุณลุงเพื่อนบ้าน (จำชื่อไม่ได้แล้ว ^^')

คุณลุงบอกว่าเห็นมิ้งค์เดินเหม่อๆ กลัวว่าจะโดนรถชน
ยังคิดไม่ทันเสร็จดี...มิ้งค์ก็เดินข้ามถนนในซอย
แล้วมอเตอร์ไซคล์ก็วิ่งเข้ามาชนมิ้งค์จากด้านหลัง
แล้วมิ้งค์ก็กระเด็นล้มไป มอเตอร์ไซคล์ที่พยายามหลบมิ้งค์
ก็กลิ้งล้มลงไปกับพื้นหลายตลบ...
(ตอนนั้นมิ้งค์ยังผอมสลิมกว่าตอนนี้มากนักอ่ะนะ :P)
แล้วด้วยความที่ยังเด็ก เลยไม่โดนพี่คนขับมอตอร์ไซคล์ต่อว่า
เพราะจะว่าไปคือมิ้งค์เองที่ผิดแบบเต็มๆ
ทั้งเดินบนทางรถวิ่ง และข้ามถนนไม่มองรถเลย
ระยะทางจากบ้านมิ้งค์ถึงที่เกิดเหตุน่าจะประมาณ 200 เมตร
คุณลุงเพื่อนบ้านรีบวิ่งมาดูว่าม้งค์เป็นอะไรรึเปล่า...
แล้วหลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาที ป๊าก็วิ่งหน้าตื่นมาที่เกิดเหตุ
โชคดีที่มิ้งค์ไม่เป็นอะไรเลย..แทบจะไมฟกช้ำด้วยซ้ำ
จึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง...
ที่น่าทึ่งคือป๊ารู้ได้ยังไงว่ามิ้งค์โดนรถชน
(มารู้เอาตอนหลังว่าคุณลุงเพื่อนบ้านโทไปบอก)
ในเวลาแทบจะพร้อมๆกับมิ้งค์ลุกขึ้นยืนจากที่โดนชนล้ม
ป๊าก็มาถึงพอดี...หลังจากเห็นมิ้งค์ไม่เป็นอะไรเลย
ป๊าก็รีบเข้าไปต่อว่าคนขับมอเตอร์ไซคล์
ซึ่งพี่เค้าก็ดีนะ...บอกว่าจะรับผิดชอบและพามิ้งค์ไปหาหมอ
แล้วเค้าก็พามิ้งค์ไปหาหมอที่ รพ.ตำรวจ (ใกล้บ้าน)
ไป X-Ray ตรวจว่ามีกระดูกหักรึเปล่า
ประกฏว่ามิ้งค์ไม่เป็นอะไรเลย...แต่พี่เค้านิ้วก้อยที่มือขวาหัก
คิดถึงเหตุการณ์นี้แล้วก็...แบบว่า...
เออนะ...ป๊าเค้าห่วงเรา รักเราม๊ากมาก
ทั้งๆที่ปกติเค้าแทบจะไม่แสดงออกมาให้เห็น
แต่สถานการณ์บางอย่างก็แสดงให้เรารับรู้ได้
อันที่จริงมิ้งค์ก็ไม่ค่อยสนิทกับป๊าเท่าไหร่
ไม่ค่อยได้แสดงออกถึงความรักกันจี๋จ๋าเหมือนบ้านอื่นๆเค้า
แต่เราก็รักก็ห่วงเค๊านะ...
เรื่องในวันนี้ ทำให้คิดว่าต่อไปนี้
จะลองฝืนความรู้สึกเขินๆเดิมๆที่เคยมีมา
ลองเข้าไปแสดงความรัก ความห่วงใยกับป๊า กับม๊า
ให้มากกว่าที่เคยทำ...
อย่างมิ้งค์เองก็คงจะปวดใจ และทนไม่ได้
ถ้าน้องวินนี่ที่เป็นที่สุดในดวงใจตอนนี้
มาทำเฉยชาใส่มิ้งค์กับคุณปุ้ยตอนที่แก่แล้ว
ว่าแล้วก็โทหาป๊าซะหน่อยดีกว่า :D
++++++++++++++++++++++++++
ขอเล่าเรื่องเสริมเล็กน้อย
เมื่อวานตอนตื่นนอนแล้วถอดเสื้อยืดที่ใส่นอนออก
ยกมือสูงไปหน่อย...เลยโดนพัดลมเพดานฟันนิ้วขาด
(เว่อร์ไปๆ ^^'') เอ่อ...โดนฟันนิ้วเฉยๆนะ
เจ็บๆๆๆ ~~~>_<~~~
เล่าให้น้อง จ.(นามสมมติ)ฟัง
น้องจ.ก็ร้องทักว่า...
"อ๊า...ทำไมเพดานมันต่ำจังล่ะ?"
-*- มันหมายความว่าไงครับเนี่ย??
ไม่คิดบ้างเหรอว่า..กระผมจะตัวสูงน่ะ??หา???
ฮี่มๆๆ ปุดๆๆ หงิงๆ น้อยใจนะครับเนี่ย
ไม่เคยเจอเราซะหน่อย...ทำไมถึงรู้ล่ะว่ามิ้งค์เตี้ย >_<
แห่ะๆ ที่เล่ามาน่ะ..ขำๆนะครับ ไม่มีไร
เดี๋ยวจะหาว่ามิ้งค์กี้บลูอายส์คิดเล็กคิดน้อย...
ที่จริงกระผมไม่แคร์เรื่องเตี้ยหรอกคร้าบบข
เพราะหล่อมั่นใจอ่ะครับ :D มันแทนกันได้
ดูอย่าง Tom Cruise สิ ^__^

Sunday, June 24, 2007

~~~ปา..ป่า...ป่ะ ~~~

หลังจากจากบ้านมาเพียงแค่ 1 วัน

คุณปุ้ยก็โทมา surprise ว่าน้องวินนี่

พูดว่า "ปา ปา ป่ะๆๆๆๆ"

พูดใหญ่เลย ทั้งวี่ทั้งวัน

มันก็น่าดีใจอ่ะนะ....แต่....

งือๆๆๆ ทำไมไม่พูดตอนป่าป๊าอยู่ล่ะลูก >_<

ได้ยินแต่จากโทรศัพท์อ่ะ....แต่อยากฟังแบบสดๆเฟร๊ยยย

ทำให้คิดถึงน้องวินนี่ขึ้นมาจับจิต....

ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้งอแง...ไม่ค่อยจะยอมกินนม

ชิชะ...เด็กคนนี้ -*- นี่พ่ออุตส่าห์ยอมอดนม

ยกเต้าของแม่ให้หนูดูดนะ...ช่างไม่รู้อะไรเล๊ยยย

จะว่าไป....ตอนไปฉีดยาคราวที่แล้วตอนครบ 9 เดือน

น้ำหนักกับส่วนสูงของน้องวินนี่ก็ต่ำกว่าเกณฑ์

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ Above average มาตลอด
หมอบอกว่าต้องทานให้ครบ 5 หมู่
คงเป็นเพราะไม่ค่อยให้น้องกินไขมัน เลยขาดหมู่ที่ 5 ไป
แถมน้องวินนี่พักหลังๆนี่ไฮเปอร์มาก

เผาผลาญหมดเลยไม่เหลือไปเลี้ยงร่างกาย :P

ไม่ได้เอารูปมาโชว์นานแล้ว...

ขอโชว์รูปเด็กหญิงภาริชญาซะหน่อยแล้วกัน
ถึงวันนี้ก็ 9 เดือนกับอีก 12 วันแล้ว :D

เดี๋ยวนี้ชอบยิ้มจมูกย่น...ท่าเดียวกับคุณแม่เด๊ะเลย

คุณพ่อชอบรูปนี้จัง...ดูมีความสุขในอ้อมกอดพ่อ :D
ฟันขึ้นเยอะแล้วด้วย...เห็นมั๊ยๆๆ

Thursday, June 21, 2007

กาแฟในฝัน - Dream Coffee :D~~


ก็ไม่มีเวลามากนัก พรุ่งนี้ต้องเดินทางอีกแล้ว

ช่วงนี้ยุ่งมากๆ ทั้งงานราษฎร์และงา
นหลวง

ร้านกาแฟก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเรื่อยๆ

ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนทุกทั่น...

ทั้งแม่กับป้าที่ช่วยกันชิมกาแฟจนดึกจนดื่น

ตอนนี้ร่างกายตายด้านต่อฤทธิ์ของคาเฟอีนซะแล้ว ^^''


เป็นกันทั้งบ้านยกเว้นคุณปุ้ยที่ยังต้องป้อนนมน้องวินนี่

ตอนนี้ทุกคนที่บ้านกินกาแฟสดตอน 4 ทุ่มคนละแก้ว สองแก้ว


ก็สามารถหลับปุ๋ย ฝันดีตลอดคืนได้อย่างสบาย ^_^'


นึกเอาเองว่าคงมีคนอยากรู้ว่า Logo ร้านเป็นยังไง

วันนี้เลยเอามาให้ดูกัน....

Credit ให้กับนายวาดเ้จ้าเก่า...กราฟฟิคดีไซเนอร์ประจำตระกูล

ของมิ้งค์กี้บลูอายส์เอง...ใช้มาหลายงานแระ :P

ตั้งแต่การ์ดงานแต่งงาน จนถึงโลโก้ร้านกาแฟ :D

ค่าจ้างก็ไม่เอา...เลยตอบแทนเพื่อนวาดด้วย

กาแฟฟรีตลอดชีพ (หรือจนกว่าร้านจะเจ๊ง)

เอ๊ะ...พูดจาไม่เป็นมงคลแฮะเรา -*-


เอ้า...ดูรูปดีกว่า :D


อันนี้ตั้งใจใช้เป็นโลโก้และป้ายชื่อร้าน


หรืออาจจะเป็นอันนี้ :P (ยังตัดสินใจไม่ได้)


ส่วนนี่ก็เมนู :D~~

ใครชอบไม่ชอบอะไรมาร่วมสนุกโหวตกันนะ


Sunday, June 03, 2007

เมื่อไฟไหม้บ้าน....


เชื่อว่าคงมีไม่กี่คนที่มีประสบการณ์แบบนี้

ประสบการณ์ที่น่ากลัวอย่าง "ไฟไหม้บ้าน"

เรื่องมีอยู่ว่า พอดีได้คุยกับน้องที่รู้จักคนนึง

เค้ามาปรึกษามิ้งค์กี้บลูอายส์ว่า...

เค้าเป็นคนโมโหร้าย ขี้วีน ควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาที่โมโห

และกลัวว่าด้วยนิสัยแบบนี้ จะทำให้เค้าต้องทำร้าย

ความรู้สึกของคนที่เค้ารักครั้งแล้วครั้งเล่า

เค้าควรจะแก้ไขยังไงดี??

สิ่งที่มิ่้งค์กี้บลูอายส์แนะนำไปในวันนั้น

ส่วนมากจะแนะนำไปในแนวของการนำธรรมะของพระพุทธเจ้า

ที่มิ้งค์ฏี้บลูอายส์ได้มีโอกาสร่ำเรียนศึกษามา

สมัยที่อยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร :D

และเมื่อวานนี้เอง มิ้งค์กี้บลูอายส์ได้มีโอกาส

ได้ยินอะไรดีๆจากวิทยุคลื่น Green wave

เป็นเสียงของแม่ชีศันสนีย์แห่ง เสถียรธรรมสถาน

ท่านบังเอิญพูดเรื่องวิธีการดับอารมณ์โมโหพอดี

ท่านกล่าวไว้ว่า....

อารมณ์โกรธ โมโหก็เปรียบเสมือนไฟไหม้บ้าน

เราซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านที่กำลังไหม้

จะรอดจากภัยได้ ไม่ใช่ด้วยการมามองหาว่า

ใครคือคนจุดไฟ แต่เราต้องคิดว่า

เราจะดัีบไฟนั้นได้ยังไง?

เวลาที่เราโมโหนั้น แทนที่จะคิดถึงเรื่องที่ทำให้เราโมโห

ให้ตั้งสติว่าเราจะดับไฟที่กำลังลุกไหม้

และความโกรธย่อมไม่สามารถดำรงอยู่ได้

เมื่อจิตเต็มไปด้วยเมตตาธรรม

ทันทีที่ฟังเรื่องนี้จบ ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที

กะว่าจะรีบถ่ายทอดให้น้องคนนั้นฟัง

แต่ดันโทไม่ติด เพราะน้องเปลี่ยนเบอร์หนีไปใช้ "เบอร์ลับ"

เลยคิดว่าเอามาเล่าขยายความต่อในบล็อคดีกว่า

เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆด้วย :D

และบล็อควันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้แล...

Saturday, June 02, 2007

เครื่องชงกาแฟจ๋า....มาหาป๋าเถอะ

โอ้ล่ะหนอ...เจ้าเครื่องชงกาแฟ

หรือจะเรียกเท่ๆว่า espressooo machine :D

ใยเจ้าจึงไม่ยอมมาเป็นของพี่ซักที...

มามะๆ มาอยู่กะป๋าซะดีๆ

เรื่องมีอยู่ว่า... Dealer นัดว่าจะได้เครื่องวันอังคารที่ผ่านมา

มิ้งค์กี้บลูอายส์ก็ใจจรดใจจ่อรอจะชงกาแฟให้เพื่อนๆชิม

แต่ก็มีเหตุให้ต้องเลื่อนไปเป็นวันศุกร์....


ขณะที่นั่งอัพบล็ฮคอยู่นี้ก็เป็นเวลาย่ำค่ำของคืนวันเสาร์

และเจ้า Espresso machine ก็ยังนอนนิ่งไม่ไหวติง

อยู่ในโกดังของศุลกากร...ไม่สามารถนำเอาออกมาให้


มิ้งค์กี้บลูอายส์เชยชมได้ :(

เนื่องจากติดเรื่องเอกสารการนำเข้า

และเป็นเหตุให้ต้องเสียค่าปรับ 20,000 บาท

ซึ่งเป็นภาระของ dealer นะไม่ใช่ของมิ้งค์กี้บลูอายส์

และจะได้เครื่องวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งเป็นฤกษ์เปิดร้านพอดี -*-

เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนกำหนดการเปิดร้านไปเป็นวันที่ 14 มิ.ย.

จึงเรียนมาเพื่อทราบและอัพเดทโดยทั่วกันคร้าบบบบ T_T


อยากรู้จังว่าเค้าทำยังไงให้ได้แบบนี้อ่ะ :D


หรือว่าแบบนี้ :D~~